ยูเวนตุส รีแบรนด์สโมสรเพื่อทะยานไปสู่ความสำเร็จด้านธุรกิจในปี 2017 และพวกเขาก็ทำได้ตามเป้าหมายด้วยการก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ของอิตาลี พร้อมกับกลายเป็นทีมระดับท็อปของโลกอย่างไร้ข้อโต้แย้ง
ตอนนี้พวกเขาคว้าแชมป์ลีกมาแล้ว 8 สมัยติดต่อกันมาตั้งแต่ปี 2012 และยังมีทีท่าว่าจะเดินหน้าต่อไป …
อย่างไรก็ตามทุกความสำเร็จย่อมมีตำนานซ่อนอยู่ แฟนบอลทั่วโลกรู้ว่า “ยูเว่” คือทีมที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในลีกสูงสุด แต่ในวันที่พวกเขาตกต่ำที่สุดล่ะ? พวกเขาเจออะไรบ้าง
นี่คือเรื่องราวเมื่อ 13 ปีที่แล้ว ซึ่ง ยูเวนตุส โดนปรับตกชั้นไปเล่นในลีกรอง โดนตัดแต้ม และกลายเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตให้ทีมอื่นๆ ในยุโรปมาดึงนักเตะของพวกเขาไปโดยไร้แรงต่อต้าน … ยกเว้นนักเตะที่เงินซื้อไม่ได้ซึ่งเราจะพูดถึงต่อไปนี้ …
คดีพลิก
ทั้งฤดูกาลแพ้แค่เกมเดียว เก็บได้ถึง 91 แต้ม นักเตะแนวรุกสุดอันตรายแบบยกแพ็ค ดีที่สุด และครบทุกสไตล์ทั้ง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, ดาวิด เทรเซเก้ต์, อาเดรียน มูตู และ อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ ขณะที่แดนกลางและแนวรับไม่ต้องพูดถึง อุดมไปด้วยแข้งเวิลด์คลาสเกินครึ่งทีม
นี่คือสิ่งทีเกิดขึ้นกับสโมสร ยูเวนตุส ในฤดูกาล 2005-06 ด้วยความพร้อมขนาดนี้อย่างน้อยๆ พวกเขาควรจะต้องเป็นแชมป์ลีกจริงไหม? … นั่นถูกแค่ครึ่งเดียวเพราะ 91 แต้มที่เก็บได้พาพวกเขาเข้าวินตั้งแต่ฤดูกาลยังไม่จบ ทว่าหลังจากนั้นคดีก็พลิก! … เพราะมีการเปิดเผยว่า ยูเวนตุส “โกง” ด้วยการล็อคผลการแข่งขันและล็อบบี้ (ตกลงล่วงหน้า) กับกรรมการในแต่ละนัด
คดีดังกล่าวมีชื่อว่า “กัลโช่โปลี” หากจะให้ลงลึกถึงรายละเอียดคงต้องใช้เวลาแจกแจงเยอะมาก แต่สรุปโดยรวมคือ ลูชาโน่ มอจจี้ 1 ในผู้บริหารของ ยูเวนตุส ขณะนั้น ใช้อิทธิพลที่มีติดต่อกับผู้ตัดสิน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขัน กัลโช่ เซเรีย อา อยู่เสมอ และนั่นผิดกฎที่ทางลีกตั้งไว้ นอกจากนี้เมื่อสอบสวนขึ้นศาลกันเรียบร้อยพบว่า ยูเวนตุส คือทีมที่ได้ผลประโยชน์จากการล็อบบี้ไว้ล่วงหน้าจริง แถมยังมีการขู่ใช้ความรุนแรงต่อคนที่ไม่ปฎิบัติตามคำสั่งอีกด้วย เรื่องจึงจบตรงที่พวกเขาต้องรับกรรม และลากผู้เกี่ยวข้องอีก 4 ทีมมาร่วมแชร์ความผิดครั้งนี้ด้วย
ยูเวนตุส หัวเรือใหญ่โดนหนักที่สุดด้วยการปรับจากแชมป์ลงไปอันดับสุดท้าย ตกชั้นไป เซเรีย บี พร้อมตัดคะแนนในฤดูกาลถัดไปอีก 9 แต้ม (ลดโทษจากตอนแรกโดนตัด 30 แต้ม) ส่วนอีก 4 ทีมอย่าง ฟิออเรนติน่า, ลาซิโอ, เอซี มิลาน และ เรจจิน่า โดนตัดแต้มไปตามระเบียบ ต่างกันแค่ฤดูกาลที่โดนตัดและจำนวนที่โดนเท่านั้น
สิ่งที่หนักพอๆ กับการโดนปรับตกชั้นของ ยูเว่ คือการโดนริบแชมป์ 2 สมัยก่อนหน้านี้ (ปี 2005 และ 2006) และสิ่งสุดท้ายคือความช็อคของเหล่าบุคลากรในทีมทั้งสต๊าฟโค้ชและผู้เล่น ที่พวกเขาก็เพิ่งรู้ว่าที่พวกเขาเป็นแชมป์และชนะมามากมาย เกิดขึ้นจากความไม่เป็นธรรม
ทุกคนเชื่อว่าด้วยคุณภาพนักเตะระดับเวิลด์คลาสกว่าครึ่งทีม นอกจากนี้ยังมีโค้ชที่มีประสบการณ์อย่าง ฟาบิโอ คาเปลโล่ ต่อให้ไม่ต้องเล่นลับลมคมใน อย่างไรเสีย ยูเวนตุส ก็ดีพอที่จะเป็นแชมป์ เซเรีย อา อยู่แล้ว
“เมื่อพิจารณาจากจุดที่ผมอยู่ ผมเองไม่สามารถคิดว่าจะหาคำใดที่เหมาะสมมาพูดถึงเหตุการณ์นี้ได้เลย แต่ที่แน่ๆ ครั้งหนึ่งผมเคยบอกไว้แล้วว่า สคูเด็ตโต้ ที่พวกเราได้นั้นเกิดจากชัยชนะในสนาม” คาเปลโล่ กล่าว
ขณะที่แฟนบอลของ ยูเวนตุส รู้สึกเจ็บปวดมากเมื่อรู้ว่าสโมสรที่พวกเขารักเล่นสกปรก ราฟ โกปาล บก. ของเว็บไซต์แฟนคลับของ ยูเวนตุส เปิดเผยว่าสิ่งที่เจ็บปวดจริงๆ คือการโดนสายตาคนภายนอกตัดสินว่า ยูเวนตุส เป็นทีมที่ไร้เกียรติและทำเรื่องสกปรก
“ผมทนเห็นสโมสรที่ผมรักหมดความน่าเชื่อถือและความเคารพในฤดูร้อนนั้น ความรู้สึกมันพุ่งพล่านมั่วไปหมดจนน่าตกใจ มันยากมากที่จะเข้าใจสิ่งต่างๆ ผมไปดูเกมที่สนาม ผมเห็นเราคว้าแชมป์ แต่ผมเรียนตามตรงว่าเราไม่ได้สิทธิพิเศษอะไรจากกรรมการเลยด้วยซ้ำ”
“ผู้คนมองมาจากภายนอกและตั้งสมมติฐานใส่เราอย่างรวดเร็ว อาจจะมีทีมอื่นโดนคดีนี้ด้วย แต่เราคือทีมที่ได้รับความรุนแรงมากที่สุด ยูเวนตุส เคยเป็นทีมที่ไร้ที่ติ เราคือทีมที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ชื่นชม เราต่อกรกับ เรอัล มาดริด ยุค กาลาติกอส ได้อย่างสูสี และตอนนี้เรากำลังจะต้องไปใช้ชีวิตในลีกรองอย่าง เซเรีย บี … ผมว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับเราเลย” ราฟ โกปาล กล่าว
วันแห่งการยอมรับความจริง
จะยอมรับหรือไม่ ยุติธรรมแค่ไหน ตอนนี้ไม่สำคัญแล้ว ยูเวนตุส โดนปรับตกชั้นและตัด 9 แต้ม พวกเขาไม่มีเวลาที่จะต่อรองอะไร นอกเสียจากการพยายามบริหารทีมในแบบที่ไม่เคยทำมานานแสนนาน นั่นคือการปรับลดภาระค่าใช้จ่าย ปรับสมดุลทีมให้เหมาะสมสำหรับการลงไปลุยในลีกล่างที่กำลังจะมาถึง
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่ทีมเคยลุ้นทุกแชมป์ที่ลงแข่ง ต้องถอยตัวเองลงมาสู้เพื่อการเลื่อนชั้น เรื่องนี้ทุกสโมสรบนโลกนี้รู้ดีว่า ยูเวนตุส กำลังจะจมน้ำตายด้วยผู้เล่นมูลค่ามหาศาลและค่าเหนื่อยมากมาย หากไม่มีการระบายออก ไม่แน่ว่าความตกต่ำอาจจะไม่จบแค่ตรงนี้ก็ได้
ขณะที่ตัวผู้เล่นเองต้องเจอกับมาตรการรัดเข็มขัดลดค่าเหนื่อยลงมาตามตกลงราว 25-50% แน่นอนว่าไม่มีใครรับได้เช่นกัน ดังนั้นนักเตะอย่าง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช และ พาทริก วิเอร่า จึงตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ อินเตอร์ นอกจากนี้ยังมี เอเมอร์สัน และ ฟาบิโอ คันนาวาโร่ ย้ายไปอยู่กับ เรอัล มาดริด, อาเดรียน มูตู ย้ายไป ฟิออเรนติน่า และ 2 กองหลังอย่าง จานลูก้า ซามบร็อตต้า และ ลิลิยง ตูราม ย้ายไปอยู่กับ บาร์เซโลน่า ขณะที่กุนซือผู้นำทีมเป็นแชมป์อย่าง คาเปลโล่ ก็ย้ายไปคุม เรอัล มาดริด เช่นกัน
ดูจากรายชื่อของนักเตะแต่ละคนที่ย้ายออกจากทีม รวมไปถึงทีมใหม่ที่เป็นปลายทางเหล่านั้น หากให้เดาสถานการณ์จากคนนอกคงคิดว่า ยูเวนตุส ได้เงินเข้ามาเยอะมาก แต่ความจริงนั้นเปล่าเลย … ในยุคไล่เลี่ยกันที่ ซีเนอดีน ซีดาน คนเดียวมีค่าตัว 50 ล้านปอนด์ ยูเวนตุส กลับขายนักเตะระดับหัวแถวของโลกในแต่ละตำแหน่งที่กล่าวมาทั้งหมด 7 คนและได้เงินกลับมาเพียงแค่ 70 ล้านปอนด์เท่านั้น
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่านักเตะอย่าง ลิลิยง ตูราม ขายได้แค่ 4 ล้านปอนด์, คันนาวาโร่ ได้ 5 ล้านปอนด์ มีเพียง ซลาตัน คนเดียวเท่านั้นที่พวกเขาขายได้มากกว่า 20 ล้านปอนด์และขายออกไปในราคาที่ไม่ขาดทุนจากที่ซื้อมา (ซื้อมา 15 ล้านปอนด์ ขายได้ 21 ล้านปอนด์)
สาเหตุที่ทำให้เรื่องเช่นนี้มันเกิดขึ้น เพราะทีมมหาอำนาจทั่วยุโรปรู้ดีว่า ยูเวนตุส นั้นไร้อำนาจในการต่อรอง เพราะนอกจากพวกเขาจำเป็นต้องขายแล้ว นักเตะก็อยากย้ายเพราะไม่มีใครอยากเล่นใน เซเรีย บี อีกทั้งค่าเหนื่อยก็ลดตามที่ได้กล่าวไป แม้ ยูเว่ อยากจะรั้งแค่ไหนก็ทำไม่ได้ พวกเขาต้องจำใจรับข้อเสนอที่เล็กกะจิ๋วหลิวหากเทียบกับคลาสของนักเตะที่ขายไป
ส่วนคนที่พวกเขาซื้อมาทดแทนนั้น มีรายเดียวที่เสียเงิน คือ ฌอง อแล็ง บูมซง กองหลังจาก นิวคาสเซิล ราคา 4 ล้านปอนด์ ซึ่งจะว่ากันตรงๆ แล้วคือผู้เล่นที่อยู่ระดับห่างกับนักเตะที่ขายออกไปอย่างสิ้นเชิง ส่วนที่เหลือเป็นการคว้านักเตะฟรี และหายืมตัวมาเล่นตามออปชั่นที่ขายนักเตะไป อาทิ ได้ วาเลรี่ โบยินอฟ มาจาก ฟิออเรนติน่า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในดีลของ มูตู และ คริสเตียโน่ ซาเน็ตติ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดีล วิเอร่า
ในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร เสื่อมเสียทั้งเกียรติและผู้เล่นชั้นดีไปพร้อมๆ ดูเหมือนว่า ยูเวนตุส จะเจอทางตันแล้ว … ทว่าโลกนี้มีสองด้านเสมอ ไม่มีสิ่งใดเลวร้ายทั้งหมด เพราะในวันที่พวกเขาตกต่ำ ทุกคนอยากย้ายหนีเพื่อชีวิตที่ดีกว่า ยูเวนตุส กลับได้พบว่าความรักที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร และมีค่ากับพวกเขาแค่ไหน
เซเรีย บี ไม่ใช่เรื่องน่าอาย
จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่ 7 นักเตะระดับเทพเท่านั้นที่ได้รับข้อเสนอและ ยูเวนตุส ไม่สามารถต่อรองได้ … ยูเว่ ควรจะทีมแตกด้วยซ้ำ เพราะตอนนั้น 11 ตัวจริงชุดแชมป์ลีกปี 2005-06 มีข้อเสนอจากทีมอื่นขอซื้อตัวทุกคน พวกเขาจะได้เล่นเวทีใหญ่ จะได้เงินมากขึ้นหากย้ายออกไป แต่มีนักเตะบางกลุ่มที่เลือกจะไม่ทำ และตัดสินใจอยู่กับ ยูเวนตุส ต่อไปในลีกล่างและต้องใช้ชีวิตบนความเสี่ยง เพราะไม่มีอะไรการันตีได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต
มีนักเตะระดับโลก 5 คน ที่ปฎิเสธทุกข้อเสนอ พวกเขาไม่ต้องการให้ ยูเวนตุส ขาดทุน พวกเขาไม่ต้องการให้ทีมเสียเชิง และพวกเขาไม่ต้องการให้ทีมตกต่ำตลอดไป และตั้งใจที่จะช่วยให้ทีมกลับมายืนอย่างสง่าผ่าเผยและมีเกียรติอีกครั้ง
จานลุยจิ บุฟฟ่อน, ดาวิด เทรเซเก้ต์, เมาโร คาโมราเนซี่, พาเวล เนดเวด และ อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ คือชื่อของพวกเขาเหล่านั้น และเป็นชื่อของนักเตะที่ต่อให้เวลาจะผ่านไปอีกสักกี่ร้อยปี แฟนบอลยูเวนตุสจะไม่มีวันลืมแน่นอน
“เมื่อยูเวนตุสตกชั้นไปเล่นในเซเรีย บี ผมบอกตามตรงว่าพวกเราทั้ง 5 คน จะย้ายไปเล่นกับทีมไหนก็ได้ในโลก ข้อเสนอมาวางที่โต๊ะทุกวัน แต่พวกเราตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ ความเห็นของผมคือทีมกำลังลำบาก และเราจำเป็นต้องทำอะไรตอบแทนให้กับสโมสรแห่งนี้บ้าง” พาเวล เนดเวด เจ้าของรางวัล บัลลงดอร์ หรือนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกในปี 2003 กล่าว
ขณะที่ เทรเซเก้ต์ นั้นอยู่ในข่ายที่ย้ายทีมง่ายที่สุด เพราะสัญญาของเขาใกล้จะหมด ราคาของเขาจะถูกมากหากทีมใดได้ไป กระนั้นเมื่อเขารู้ว่าทีมจะตกชั้น สิ่งที่เขาทำคือ รีบไปเจรจากับบอร์ดบริหาร และขอต่อสัญญาเพื่อช่วยทีมต่อทันที
ยูเว่ ได้ 5 แข้งดังที่กล่าวมาวางเป็นแกนหลัก และในสถานการณ์ร้ายๆ ก็กลายเป็นโอกาสให้นักเตะเยาวชนและดาวรุ่งของสโมสรมีโอกาสลงสนามมากขึ้น ฤดูกาล 2006-07 ในเซเรีย บี คือการแจ้งเกิดเต็มตัวของนักเตะอย่าง จอร์โจ้ คิเอลลินี่, เคลาดิโอ มาร์คิซิโอ ที่ภายหลังถูกจดจำในฐานะตำนานของสโมสรทั้งคู่ ส่วนนักเตะคนอื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นแข้งที่ยืมตัวมา หรือแข้งตัวสำรองสมัยยังเป็นยอดทีมในลีกสูงสุดอยู่ทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตามแม้จะลดลงในแง่ของคุณภาพ แต่ในแง่ความมุ่งมั่น ผู้เล่นเหล่านี้ขับเคลื่อนยูเวนตุสไปข้างหน้าได้มากกว่าที่เคยเป็น ทุกคนมีความคิดฝังสมองว่าการเล่นสกปรกครั้งนี้ “พวกเขาไม่เกี่ยว” พวกเขาสู้เต็มที่เสมอ ดังนั้นสิ่งที่จะบอกได้ว่าพวกเขาเก่งจริง และมีเกียรติจริง คือการพาทีมขึ้นไปประสบความสำเร็จแบบเดิมให้ได้
“รู้ไหม อะไรที่ผมรู้สึกหลังจากเลือกที่จะอยู่ในเซเรีย บี กับ ยูเวนตุสต่อไป? หรือนักเตะบางคน หรือลูกผู้ชายบางคน ต้องการที่จะแสดงจุดยืนของพวกเขาต่อสาธารณชน ต่อแฟนๆ มันเป็นช่วงเวลาที่มีความหมาย และมีข้อความที่ผมอยากจะส่งไป”
“สำหรับชีวิตนักฟุตบอล คุณสามารถส่งข้อความของคุณไปถึงแฟนๆ ได้ด้วยการแสดงความจงรักภักดีต่อทีม … และแน่นอน ผมดีใจมากที่ผมเลือกทำแบบนั้น” จานลุยจิ บุฟฟ่อน นักเตะ 1 ใน 2 ที่อยู่ในทีมชุดนั้นและยังเป็นผู้เล่นของ ยูเวนตุส ชุดปัจจุบัน (อีกคนคือ จอร์โจ้ คิเอลลินี่) กล่าว
คำพูดของพวกเขาหล่อเหลาเอาเรื่อง จนดูว่าโลกสวยเกินไปหน่อย แต่แน่นอนทั้ง 5 นักเตะที่ไม่ยอมย้ายไม่ได้หล่อแค่คำพูด พวกเขาลงเล่นใน เซเรีย บี ด้วยความมุ่งมั่นไม่ต่างจากเดิม และที่สำคัญคือทุกคนจริงจัง และสนุกกับชีวิตในลีกรองที่พวกเขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน ผลงานทุกคนออกมาโดดเด่นมาก 3 นักเตะอย่าง เดล ปิเอโร่ (23 ประตู), เทรเซเก้ต์ (15 ประตู) และ เนดเวด (12 ประตู) กลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดของทีมในปีนั้น ขณะที่บุฟฟ่อน เสียแค่ 21 ประตูจากเกมลีกที่ลงสนาม 37 นัด
ปีนั้นเป็นที่ ยูเวนตุส รักษาผลงานได้ดีตลอดทั้งซีซั่น เดินหน้าเก็บชัยชนะเป็นว่าเล่น แม้จะโดนหักไป 9 แต้ม แต่ก็คว้าแชมป์ลีกได้อย่างง่ายดาย ด้วยการเก็บไป 85 (+9) แต้ม แต่เหนือสิ่งอื่นใดพวกเขากลายเป็นทีมที่ไปสนามไหนคนดูก็เต็มสนาม และทำให้ปีนั้น เซเรีย บี น่าสนใจมากที่สุดในประวัติศาสตร์
มันเหมือนเรื่องราวของเหล่าลูกเศรษฐีที่ได้ไปใช้ชีวิตในชนบทเป็นครั้งแรก บางคนทนกลิ่นโคลนสาบควายไม่ได้ และขอกลับบ้านหลังใหญ่ที่แสนสบาย แต่สำหรับ จานลุยจิ บุฟฟ่อน, ดาวิด เทรเซเก้ต์, เมาโร คาโมราเนซี่, พาเวล เนดเวด และ อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ รวมถึงนักเตะคนอื่นๆ กลับมองอีกด้าน พวกเขาไม่กลัวเลอะ ไม่ห่วงเสื้อผ้าอาภรณ์ และเลือกที่จะสนุกกับประสบการณ์อันแปลกใหม่ และเป็นประสบการณ์ที่เหล่าลูกเศรษฐี (นักเตะระดับโลก) คนอื่นๆ นั้นยากที่จะได้ประสบพบเจอ
“ให้ย้อนกลับไปตัดสินใจ ผมก็จะทำเหมือนเดิมนั่นแหละ ตอนเล่นใน เซเรีย บี เป็นปีที่สนุกที่สุดปีนึงของผมเลย” บุฟฟ่อน กล่าวในวันฉลองแชมป์ นอกจากนี้ยังมี เนดเวด ที่ตอบคำถามนี้คล้ายๆ กันว่า
“บางครั้งคุณก็อย่าไปคิดมากเรื่องความเสี่ยงในอาชีพการงาน การตัดสินใจจากเสียงในหัวใจนี่แหละที่สำคัญ ที่ยูเวนตุส ผมรับประกันได้ว่าผมไม่เคยตัดสินใจผิดพลาดเลย มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะเล่นในเซเรีย บี ผมไม่เคยมีเรื่องตัวเลขและคำนวณรายรับไว้ในหัว ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณทำตามหัวใจ เมื่อนั้นคุณจะไม่รู้สึกผิดพลาด แม้คุณจะสูญเสียบางอย่างไปก็ตาม” พาเวล เนดเวด กล่าว
แล้วพวกเขาได้อะไรตอบแทน?
ยูเว่ เลื่อนชั้นในปีเดียว แต่ปัญหาคือเมื่อกลับมายังลีกสูงสุด คุณภาพผู้เล่นที่เล่นในลีกรองด้วยกันมันยังไม่เพียงพอที่จะประสบความสำเร็จในทันที นอกจากนี้กุนซือที่พาเลื่อนชั้นอย่าง ดิดิเย่ร์ เดส์ชองส์ ก็ลาออก และเอา เคลาดิโอ รานิเอรี่ มาคุมทีมแทน ซึ่งเป็นช่วงเวลาการตั้งไข่ที่ยากลำบากมาก ยูเว่ ไม่ได้ใกล้เคียงแชมป์ลีกเลยเป็นระยะเวลาถึง 4 ปี
เรียกได้ว่า เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แถมยังเอากระดูกมาแขวนคอก็ได้ สำหรับเหล่า 5 นักเตะผู้จงรักภักดีที่ช่วยกันพาทีมขึ้นมา แม้ทั้งหมดจะอยู่ในสถานะลอยตัวไม่โดนวิจารณ์ แต่ทุกคนรู้สึกแย่อยู่ดี เพราะทีมโดนด่า … ซึ่งในฐานะทีมพวกเขาก็ต้องรับผิดชอบด้วย
การกลับมาและไร้ความสำเร็จแถมทีมยังหนักไปทางล้มเหลว หมายความว่านักเตะชุดนี้ยังคงโดนปรามาสว่า “เก่งไม่จริง” หนำซ้ำแม้แต่แฟนบอลทีมตัวเองก็ยังวิจารณ์ว่า การกลับขึ้นสู่ลีกสูงสุดครั้งนี้เกิดความผิดพลาดมากมาย และยากที่จะกลายเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง
“ทีมไม่ได้มีวิสัยทัศน์สำหรับอนาคตเลย เราใช้เงินสูญเปล่าไปกับเหล่าผู้เล่นที่ไม่ดีพอ ความรู้สึกอยากจะเอาชนะหายไปจากทีม นักเตะที่เข้ามาหลังจากกลับสู่ เซเรีย อา ล้มเหลวแทบทุกคน ทั้งหมดมันก็อย่างที่ผมพูดนั่นแหละ” เป็นอีกครั้งที่ บก. จากเว็บไซต์แฟนคลับของสโมสร โจมตีทีมตัวเอง
จนกระทั่งทุกอย่างมาเปลี่ยนไปในยุคที่ อันเดรีย อันเญลลี่ เข้ามาครองตำแหน่งประธานสโมสร และแต่งตั้ง จูเซปเป้ มาร็อตต้า เข้ามาดูแลฝ่ายบริหารด้านฟุตบอล จนกระทั่งมาลงตัวกับกุนซือที่เคยเป็นนักเตะของทีมอย่าง อันโตนิโอ คอนเต้ จึงทำให้ทีมตั้งลำได้อีกครั้ง และ ยูเว่ ก็เริ่มกลับมายิ่งใหญ่ จนถึงเวลานี้พวกเขาครองแชมป์ได้ถึง 8 สมัยติดต่อกันเข้าให้แล้ว
มีเพียง 2 นักเตะจากยุค 5 เซียนแห่ง เซเรีย บี ที่ได้อยู่กับทีมจนถึงวันที่ชูถ้วยสคูเด็ตโต้ นั่นคือ บุฟฟ่อน และ เดล ปิเอโร่ แต่ถึงอย่างนั้น อีก 3 รายที่ออกจากทีมหรือเลิกเล่นไปก่อนอย่าง เทรเซเก้ต์, คาโมราเนซี่ และ เนดเวด ก็ไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจกับความสำเร็จที่พวกเขาไม่ได้รับ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นรากฐานของมันก็ตาม
ทุกคนเคลียร์มากในแง่ของความรู้สึก เพราะสโมสรนี้เป็นยิ่งกว่าอดีตต้นสังกัดของพวกเขาไปแล้ว ดังนั้นต่อให้ไม่ได้แชมป์ ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความภาคภูมิใจของพวกเขาได้เลย … เพราะพวกเขาได้สิ่งที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าแชมป์เสียอีก
“การเล่นให้กับ ยูเวนตุส คือประสบการณ์ที่ดีที่สุดในชีวิตนักฟุตบอลของผม ผมอยู่กับทีมมายาวนานประสบความสำเร็จ ล้มเหลว และตื่นเต้นถึงขีดสุดกับทีมๆ นี้ ซึ่งอารมณ์ทั้งหมดที่บอกไปคือแก่นแท้สำหรับอาชีพนักฟุตบอล … ช่วงเวลาคือสิ่งที่สำคัญที่สุด” เมาโร คาโมราเนซี่ ถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองออกมาในฐานะนักเตะคนหนึ่ง
ส่วนในมุมมองของแฟนๆ นั้นไม่ต้องพูดถึง ทั้ง 5 คน กลายเป็นนักเตะในลิสต์ระดับท็อป 10 ที่พวกเขารักมากที่สุดอยู่แล้ว ไม่ว่าใครที่เข้ามาทำงานกับ ยูเว่ ในฐานะใด ทุกคนจะบอกในทิศทางเดียวกันเสมอ นั่นคือการให้เกียรติเหล่าผู้กล้ายุคล่าแชมป์ เซเรีย บี เหล่านี้
“ยูเวนตุส มีนักเตะชื่อดังมากมายหลายคน แต่ทำไมพวกคุณจึงดูเหมือนคนที่ได้ความรักจากแฟนๆ มากที่สุด?” นิตยสาร ฟอร์บส์ ถามกับ พาเวล เนดเวด ในวันที่เขาเลิกเล่นก่อนที่ เนดเวด จะตอบได้ชัดเจน และน่าจะเป็นคำตอบที่พูดแทนเพื่อนๆ ของพวกเขาทั้ง 4 คนได้เป็นอย่างดีว่า
“ผมเดาว่าคงเป็นสไตล์การเล่นของผมมั้ง ผมให้ 100% กับสโมสรแห่งนี้เสมอ ทุกคนได้เห็นและชื่นชมมัน ตอนลงไป เซเรีย บี ผมและพวกเรารวม 5 คนตัดสินใจจะอยู่สู้กับทีมต่อไป และทำให้พวกเราทุกคนกลายเป็นนักเตะอมตะ ไม่มีวันตายจากหัวใจของแฟนบอลยูเวนตุสได้” เนดเวด กล่าว
เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องมีบทสรุปอะไรให้มากไปกว่า “บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น” …
จานลุยจิ บุฟฟ่อน, ดาวิด เทรเซเก้ต์, เมาโร คาโมราเนซี่, พาเวล เนดเวด และ อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ ยกหัวใจให้ทีมและแฟนบอลแบบไม่มีข้อแม้ นั่นคือเหตุผลที่แฟนๆ ที่นี่รักพวกเขามาก แม้บางคนจะไม่ได้แขวนสตั๊ดกับทีมไป และอาจจะลาทีมไปโดยไม่ได้ตั้งตัวก็ตาม
การตกชั้นและลงไปเล่นในลีกรอง 1 ปี อาจจะเป็นจุดด่างพร้อยเล็กๆ ในชีวิตของพวกเขาเหล่านี้จากมุมมองของบุคคลภายนอก ทว่าพวกเขาทั้ง 5 คนมองมันต่างออกไป เซเรีย บี และความตกต่ำเพียงชั่วคราวไม่ใช่ความด่างพร้อย แต่มันคือรอยแผลแห่งความภาคภูมิใจต่างหาก
คลิกเลย >>> โปรโมชั่นแทงบอลฟรี
อ่านข่าวอื่นๆที่ >>> https://l-aimant-moto.com/